ค่ายลูกเสือสยองที่สระบุรี
เรื่องนี้ ส่งมาให้ผมทางอินบ็อคของเพจหลอนก่อนนอน โดยเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณขวัญ ซึ่งคุณขวัญเล่าเอาไว้ว่า
ย้อนกลับไปเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ผมพึ่งจะขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
ซึ่งทางโรงเรียนมีการจัดกิจกรรมเข้าค่ายลูกเสือ โดยจะต้องไปค้างแรมกันที่ที่จังหวัดสระบุรี
โดยค่ายที่จะต้องไปนี้อยู่บนภูเขา ซึ่งเชื่อว่าหลายท่านน่าจะพอรู้จักกันอยู่บ้าง
เมื่อเดินทางไปถึงค่ายนั้น ก่อนที่จะทำกิจกรรมต่างๆ
ครูที่รับผิดชอบกิจกรรมลูกเสือนี้ ก็พาเด็ก ๆ ทั้งหมด ประมาณ 300 กว่าคน
ไปกราบไหว้ต้นตะเคียน ที่เหมือนจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่
โดยลักษณะของตะเคียนต้นนี้ เป็นลำต้นที่นอนราบอยู่กับพื้น
แล้วระหว่างกลางลำต้นนั้น จะตาไม้ 1 ดวง
ระหว่างทำพิธี ผมและเพื่อนลูกเสือส่วนใหญ่ ก็ไม่ได้รู้สึกสนใจอะไร ก็ยังเห็นแอบคุยเล่นกันตามปกติ
หลังจากที่ทำพิธีเสร็จครูที่เป็นผู้รับผิดชอบเขาก็พูดดักว่า
พวกที่ชอบ ปากกล้าลบหลู่สถานที่ ครูขอเตือนว่า ที่ค่ายแห่งนี้ มีนางตะเคียนอยู่จริง เพื่อให้เด็กทุกคนระวังปากระวังคำเอาไว้
ครูยังเล่าอีกว่า ก่อนหน้านี้ที่เราจะมากันนั้น มีโรงเรียนอื่นมาเข้าค่ายเหมือนเราก่อนแล้ว
ซึ่งมีกลุ่มเด็กวัยรุ่นคะนองปาก ลบหลู่ต้นตะเคียน และตะโกนโหวกเหวกกันยกใหญ่

แถมในคืนนั้น ระหว่างที่กำลังจัดกิจกรรม วัยรุ่นกลุ่มนี้ได้แยกออกไปเข้าห้องน้ำ แล้วก็แวะเดินเล่นกันตามประสา
แม้ว่าจะมีคำสั่งจากครูอย่างเด็ดขาด ว่าตกดึกแล้ว ห้ามออกมาเที่ยวเล่นหรือส่งเสียงดังเวลากลางคืน
เพราะจะเป็นการรบกวนเจ้าป่าเจ้าเขา รวมไปถึงเจ้าแม่ตะเคียนต้นนี้ที่คอยปกปักษ์รักษาค่ายแห่งนี้ด้วย
ในคืนนั้น เด็กกลุ่มนี้ ได้เล่นพิเรนท์ โดยการแกล้งปิดประตูขังเพื่อนคนหนึ่งไว้ในห้องน้ำ
ซึ่งคุณหลายคน ก็น่าจะรู้อยู่แล้ว ว่าห้องน้ำที่ค่ายช่วงกลางคืนนั้นมืดแค่ไหน
หลังจากแกล้งเพื่อนคนนี้เสร็จ ก็กลับไปทำกิจกรรมปกติ
จนได้เวลาเข้านอนทุกคนก็นอน ก็ไม่มีใครจำเพื่อนคนที่ถูกขังไว้ในห้องน้ำได้เลย
จนเวลาล่วงเลยไปถึงตี2 เด็กคนหนึ่งในกลุ่มนี้ รู้สึกปวดท้อง อยากจะเข้าห้องน้ำมาก จึงชักชวนเพื่อนไปด้วย
ซึ่งแต่ละคนก็นอนไม่ค่อยจะหลับกันอยู่แล้ว ด้วยความที่นอนต่างที่
จึงชักชวนกันยกโขยงไปกันทั้งกลุ่ม
เส้นทางระหว่างไปห้องน้ำนั้น ต้องผ่านป่าที่จะเป็นลานทำกิจกรรม ซึ่งตอนนั้นก็มืดมาก
มีเพียงเสียงนกป่าและลมเย็นชวนให้บรรยากาศวังเวงเป็นอย่างยิ่ง
แต่เมื่อพอไปถึงห้องน้ำ ทุกคนก็ต้องอึ้งกับสิ่งที่พวกมันเห็น เพราะเพื่อนคนที่ถูกขังไว้ในห้องน้ำนั้น
ตอนนี้กำลังยืนชี้หน้าทุกคนอยู่
จากนั้นก็ตะโกนขึ้น ทำลายความเงียบของป่าออกมาดัง ๆ ว่า
“พวกมึงสนุกมากมั้ย?”
เพียงเท่านั้น เด็กกลุ่มนี้ก็ร้องลั่นไปก้องค่าย ใส่เกียร์หมากันแบบไม่คิดชีวิต
จนทั้งค่ายแตกตื่น คณะครูต่างพากันออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่เมื่อไปถึง ก็เห็นเด็กที่ถูกแกล้งนั้น นอนสลบอยู่ในห้องน้ำ ทั้ง ๆ ที่ประตูยังถูกขังอยู่
แล้วใครกันที่ออกมายืนหน้าห้องน้ำ ใครกันที่เหมือนกับเพื่อนคนนี้มาก แต่น้ำเสียงและท่าทางนั้นมีอำนาจกว่า
แน่นอนว่าเด็กกลุ่มนี้ มีความผิด และถูกนำส่งกลับบ้านก่อนที่กิจกรรมต่าง ๆ จะดำเนินต่อไป
ทั้งหมดนั้น คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าที่คณะของผมจะเดินทางมาถึง
ส่วนหลังจากนี้ คือสิ่งที่เกิดขึ้น และทำให้ผมต้องจดจำไปตลอดชีวิต
ในคืนนั้น ค่ายของเรามีกิจกรรมปิดตา และจับเชือกไปตามฐานต่าง ๆ ซึ่งจะต้องใช้ผ้าพันคอปิดตาเอาไว้
โดยจะปล่อยลูกเสือและเนตรนารีไปทีละ 4 หมู่ เป็นทั้งชายและหญิงอย่างละครึ่ง
ผมนั้น คือหนึ่งในกลุ่มที่ต้องทำแบบนั้น จำได้ว่าเป็นหมู่กลาง ๆ
ระหว่างทำกิจกรรมปิดตานี้ หมู่ผมก็โหวกเหวกกันลั่นเพราะทั้งตื่นเต้นและสนุกดี ปากก็สบถคำหยาบต่าง ๆ นานา
จนครูต้องแยกพวกผมไปพักตรงต้นไม้ เหมือนจะให้สงบสติหรืออาจจะทำโทษไปในตัว จนเวลาผ่านไป ถึงจะกลับไปร่วมกิจกรรมกับคนอื่น ๆ ได้
โดยครั้งนี้ ระหว่างที่ผมปิดตาเดินอยู่นั้น ก็รู้สึกได้ว่า มีเล็บมาขูดผม
วินามทีแรก ผมก็ยังไม่คิดอะไร
เพราะปกติก็จะมีครูแกล้งผมทำนองนี้บ้างอยู่แล้ว
เพราะผมเป็นคนที่กวน ๆ ครูหลายท่านจึงมักจะแกล้งเล่นเสมอ
ตอนนั้น ผมเดินจับเชือกต่อไป ซึ่งเพื่อนผมที่เดินนำหน้า มันหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้
ที่สำคัญ เชือกที่ผมจับอยู่นั้น มันก็มาสุดทางแล้ว แต่กลับไม่มีใครอยู่ที่ปลายทางนั้นเลย
ในความมืดเพราะปิดตาอยู่นั้น ผมตกใจอยู่ครู่หนึ่ง สักพักก็มีใครสักคนยื่นท่อนไม้มาให้ ซึ่งก็น่าจะเป็นอาจารย์ที่มองดูผมอยู่เป็นแน่ ผมจึงค่อยสบายใจขึ้น
จากนั้นก็ออเดินเท้าต่อ แต่เดินไปนาน ก็ยังไม่ถึงจุดหมายสักที
จนกระทั่งเริ่มมีแสงไฟสลัว ๆ อยู่เบื้องหน้าผม ผมจึงเอาผ้าปิดตาออก แต่ปรากฏว่า จุดที่ผมยืนอยู่นั้นมันมืดมาก
และผมออกมาไกลจากห้องโถง ที่เป็นจุดหมายปลายทางของนักเรียนทุกคนประมาณ 200 เมตร
แต่ก็เหมือนจะตาฝาด เพราะผมที่ผมเห็นนั้น เหมือนจะไม่ใช่นักเรียน แต่คล้ายกับคนงานที่ใส่เสื้อลายสก็อตเสียมากกว่า อีกทั้งส่วนสูงของทุกคนนั้นก็แตกต่างกัน เหมือนคนงานทั่วไปที่เรามักจะเห็นกันตามไซต์งาน ซึ่งผมก็คิดว่าน่าจะเป็นเจ้านายที่ของค่ายนี้
จนความรู้สึกหนึ่ง ก็ดึงสติผมกลับมา มันเป็นความเจ็บที่แล่นมาจากมือของผม
เพราะสิ่งที่ผมจับอยู่นั้น มันคือท่อนไม้ท่อนใหญ่ และมีหนามเกือบตลอดทั้งท่อน
แต่ช่วงที่ผมจับครั้งแรก กลับไม่รู้สึกอะไรเลย
เมื่อสติกลับมา ผมจึงรีบเดินกลับมาที่ห้องโถง แน่นอนว่าผมคือคนสุดท้ายที่ไปถึง
หลังจากนั้นอีก 2 วันที่เหลือ เหตุการณ์ทุกอย่างก็ปกติดี
จนเมื่อผ่านมาหลายเดือน ผมจึงนำเรื่องนี้ไปคุยกับคนอื่นที่คุ้นเคยกับค่ายนี้ เพราะไปมาบ่อยกว่า
แต่เขาก็ทักขึ้นว่า ที่ค่ายนั้น ไม่มีคนงานนอกจากแม่บ้านที่ทำกับข้าวให้กินและลูกแม่บ้านอีก 2 คนเท่านั้น
แล้วกลุ่มคนงานที่ผมเห็นกว่านับร้อยคือใครกัน หรือผมตาฝาดไปเอง แต่ก็คงเป็นการฝาดที่ชัดมาก
อีกทั้งเพื่อนคนหนึ่ง ที่อยู่ในเหตุการณ์คืนนั้น มันเล่าว่า คืนนั้นมันก็เห็นผมเดินไปทางน้ำตก แต่มันก็คิดว่าผมแกล้ง
โชคดีที่ผมเปิดตาก่อน เพราะถ้ายังเดินไปทางน้ำตกนั้น อาจจะตกหน้าผาที่มีแม่น้ำไหลเชี่ยวเบื้องล่างก็ได้
ขอขอบคุณ คุณขวัญ
เรียบเรียงโดย สยองจัง